ความเคลื่อนไหวของทีมกรีฑาพาราทีมชาติไทย ที่คว้าสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งหมด 13 คน แบ่งเป็น กรีฑา ลู่-ลาน 5 คน และ วีลแชร์เรสซิ่ง 8 คน ซึ่งกำลังเดินหน้าเตรียมความพร้อมในช่วงโค้งสุดท้าย อยู่ที่ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา, สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี และ สนามศุภชลาศัย อย่างต่อเนื่องในเวลานี้
นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “วีลแชร์เรซซิ่งถือเป็นกีฬาพระเอกของไทยในการแข่งขันพาราลิมปิกหลายสมัย ผลงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีมาตรฐานที่ไม่เคยตก ที่น่าดีใจคือมีนักกีฬาหน้าใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่วนคนเก่าก็ยังคงรักษาผลงานเอาไว้ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ประวัติ วะโฮรัมย์, พงศกร แปยอ หรือ “น้องฟิว” อธิวัฒน์ แพงเหนือ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งดาวรุ่งวัย 18 ปี ซึ่งก็เชื่อว่ากีฬากรีฑาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวีลแชร์เรซซิ่งจะประสบความสำเร็จในพาราลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียว ครั้งนี้แน่นอน”
ด้าน “สุพรต เพ็งพุ่ม” หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวีลแชร์เรสซิ่งทีมชาติไทย เปิดเผยถึงความพร้อมของทีมวีลแชร์เรซซิ่งเวลานี้ต้องบอกว่านักกีฬาทุกคนพร้อมมาก พร้อมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะการได้เก็บตัวอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ 4 ปี ส่งผลให้นักกีฬาเรามีความแทบทุกด้าน เพราะมีเวลาแก้ไขจุดอ่อน และเสริมเติมจุดแข็งให้นักกีฬาทุกคนอย่างเต็มที่ ซึ่งนักกีฬาทุกคนมีพัฒนาการที่ดีมากทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่านักกีฬาทุกคนจะผลงานได้ดีอย่างแน่นอน
“ส่วนเป้าหมายหากให้บอกว่าจะได้กี่เหรียญทอง คงจะเป็นการกดดันนักกีฬามากไป แต่จากการเตรียมตัวที่ดี ทำให้พูดได้เต็มปากเลยว่านักกีฬาวีลแชร์เรสซิ่งเรามีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลทุกรายการ และหวังว่าแฟนกีฬาชาวไทยอยากฟังเพลงชาติไทยหลายๆ ครั้ง ก็ขอให้พี่น้องชาวไทยส่งกำลังใจมาเชียร์พวกเรากันเยอะๆ และเราให้สัญญาว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นกัน”
เฮดโค้ชทีมวีลแชร์เรสซิ่งทีมชาติไทย กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ดีการที่นักกีฬาของเรามีความพร้อมเช่นนี้ ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าเป็นเพราะการสนับสนุนจากคุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาลิมปิกแห่งประเทศไทย ที่ทำให้นักกีฬาวีลแชร์เรสซิ่งฝึกซ้อมได้อย่างต่อเนื่องที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นครราชสีมา ซึ่งเป็นสนามที่ใช้ลู่ยางมาตรฐานเดียวสนามแข่งขันจริงใน “โตเกียวเกมส์” ส่งผลที่ผ่านมาให้นักกีฬามีสถิติออกมาน่าพอใจและมีความหวังได้ในทุกรายการที่ลงแข่งขัน
ขณะที่ “กร” พงศกร แปยอ นักวีลแชร์เรสซิ่งทีมชาติไทย ดีกรี 2 เหรียญทองพาราลิมปิกเกมส์ 2016 ในรายการ 400 ม.และ 800 ม. ที 53 กล่าว ความพร้อมส่วนตัวตอนนี้ต้องบอกว่ามันเกินร้อยเปอร์เซ็นแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาเรามีการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องในสนามที่ได้มาตรฐานทำให้ผมสามารถทำสถิติได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพร้อมแบบเต็มที่ลงแข่งขันในพาราลิมปิกเกมส์เพื่อป้องกันแชมป์ให้ได้อีกสมัย
“ในพาราลิมปิกเกมส์หนนี้ได้สิทธิ์ลงแข่งขัน 3 รายการ คือ ระยะ 100 ม.,400 ม. และ 800 ม. ส่วนเป้าหมายแน่นอนอย่างที่บอกผมหวังว่าจะป้องกันแชมป์ให้ได้ทั้งสองรายการ อย่างไรก็ดี รายการที่ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องทำผลงานออกมาให้ที่สุดคือรายการวีลแชร์ 400 ม. ซึ่งผมหวังไว้ส่วนตัวว่าจะต้องที่ทำสถิตโลกรายการนี้ให้ได้ เพราะการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมเคยทำลายสถิติโลกรายการนี้มาแล้ว และคิดว่ามีโอกาสทำได้ด้วยเพราะ 400 ม. จะเป็นรายการแรกที่ผมจะลงแข่งขันในพาราลิมปิกเกมส์หนนี้”
ส่วน “จิระศักดิ์ ปลาทิพย์” หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาคนตาบอดทีมชาติไทย เผยว่า สำหรับทีมกรีฑาคนตาบอดในครั้งเรามีนักกีฬา 2 คนที่คว้าสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน คือ สุนีย์ภรณ์ ถนอมวงค์ (กรีฑาลู่) และ เจนจิรา ปัญญาทิพย์ (กระโดดไกล) เวลานี้ทั้งสองคนถือว่ามีความพร้อมสมบูรณ์ ส่วนเรื่องความหวังเหรียญหวังคงอยู่ที่ “สุนีย์ภรณ์”เพราะด้วยผลงานที่ผ่านมาซึ่งเคยเป็นถึงเหรียญทองแดงในรายการชิงแชมป์โลก ทำให้เราคิดน่าจะมีโอกาสคว้าเหรียญรางวัลได้ อย่างไรก็ดี คงต้องไปวัดกันหน้างานอีกครั้งเพราะในครั้งนี้อาจต้องลงแข่งรอบคัดเลือกถึง 2 หน ก่อนที่จะถึงรอบชิงฯ ทำให้หากไม่มีปัญหาบาดเจ็บเชื่อว่ารอบชิงมีลุ้นแน่นอน
ขณะที่ อรวรรณ ไกรสิงห์ นักกรีฑาผู้พิการทางสมอง ที่ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ในรายการวิ่ง 400 ม.และฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมอยู่ ที่ สนามศุภชลาศัย เผยว่า ในเวลานี้ถือว่าพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจที่ไปเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ส่วนเป้าหมายแน่นอนตนเองก็จะหวังที่จะทำผลงานอย่างเต็มที่เพื่อทำผลงานออกมาให้ดีที่สุดซึ่งเชื่อว่าหากถึงวันแข่งขันไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนตนก็เชื่อว่าเรามีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัลได้เช่นกัน
สำหรับรายการที่ทัพกรีฑาคนพิการทีมชาติไทย ทั้ง 13 คน จะลงชิงชัยใน พาราลิมปิกเกมส์ 2020 มีดังนี้ กรีฑา ลู่-ลาน จิราพร ก๋ากัน (คลาส T46) วิ่ง 100 ม./ 200 ม. อังคาร ชะนะบุญ (คลาส T47) กระโดดสูง อรวรรณ ไกรสิงห์ (คลาส T20) วิ่ง 400 ม. สุนีย์ภรณ์ ถนอมวงค์/ปัจจัย ศรีคำพันธ์ (ไกด์รันเนอร์) ( T11) วิ่ง 200 ม./400 ม. เจนจิรา ปัญญาทิพย์ (T11) กระโดดไกล
กรีฑา วีลแชร์เรสซิ่ง ชัยวัฒน์ รัตนะ (คลาส T34) 100 ม./ 800 ม. พงศกร แปยอ (คลาส T53) 100 ม./ 400 ม./ 800 ม. พิเชษฐ์ กรุงเกตุ (คลาส T53) 100 ม./ 400 ม./ 800 ม.
มะสบือรี อาแซ (คลาส T53) 400 ม./ 800 ม. สายชล คนเจน (คลาส T54) 100 ม./ 400 ม./ 800 ม./ 1,500 ม. ภูธเรศ คงรักษ์ (คลาส T54) 400 ม./ 800 ม./ 1,500 ม./5,000 ม.
ประวัติ วะโฮรัมย์ (คลาส T54) / 800 ม./ 1,500 ม./5,000 ม./มาราธอนอภิวัฒน์ แพงเหนือ (คลาส T54) 100 ม./ 400 ม.
ทั้งนี้ ทีมกรีฑาพาราทีมชาติไทย จะออกเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 19 สิงหาคม 2564 โดยผลงานของทีมกรีฑา ใน “พาราลิมปิก เกมส์” ครั้งที่ผ่านมา ในปี 2016 ที่นครริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล ทีมกรีฑาไทย คว้ามาได้ทั้งสิ้น 4 เหรียญทอง